..ยินดีต้อนรับสู่กวนอิมผ่อสัก อุดโจ้ว เนื่องในวันคล้ายวันประสูติขององค์พระโพธิสัตว์กวนอิม กวนอิมผ่อสักอุดโจ้ว ขอเชิญสาธุชนทั้งหลายร่วมถือศีลกินเจในวันที่23มีนาคม2554เป็นเวลา1วัน..

บทสวดเจ้าแม่กวนอิม แปล

บทสวดเจ้าแม่กวนอิม แปล
พระคาถาเจ้าแม่กวนอิม
นะโม ไต่ซื้อไต่ปุย กิวโค่ว กิวหลั่ง ก๋วงไต๋ เล่งก้ำ กวงซีอิมฟู่สัก
(ท่อง 3 จบ กราบ 3 ครั้ง)
นะโมฮุ๊ก นะโมหวบ นะโมเจ็ง นะโมกิวโค่ว กิวหลั่ง กวงซีอิมพู่สัก
ทางจี้โต โอม! เกียล่อฮวดโต ๆ เกียออฮอดโต ๆ ล่อเกียฮวดโต ๆ
สวาหา เทียนหล่อซิ้ง ตี่หล่อซิ้ง นั้งหลี่หลั่ง หลั่งหลี่ซิง เจ็กเฉียก
ไจเอียงห่วยอุ่ยติ๊ง นะโม หม่อฮอ ปั่วเปี้ยกปอหล่อบิ๊ก

พระคาถาจีนแปลเป็นไทยโดยใจความ

ข้าพเจ้าขอนอบน้อมกราบนมัสการแทบเบื้องพระยุคลบาทแห่งองค์พระพุทธบิดรอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งพระธรรมและพระอริยสงฆ์สาวก

ข้าพเจ้าขอนอบน้อมนมัสการ ต่อเจ้าแม่กวนอิมบรมโพธิสัตว์พุทธเจ้า พระผู้ทรงมีน้ำพระทัยเมตตากรุณาต่อผู้ทุกข์ยากลำบากอย่างไม่มีขอบเขตจำกัด ไม่มีการถือชั้นวรรณะ น้ำพระท้ยของพระองค์บริสุทธิ์ และศักดิ์สิทธิ์ประดุจดังกระแสแห่งทิพย์

ข้าพเจ้าขอถวายอภิวาทต่อพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์และพระอรหันต์สาวกสาวิกาทั้งหลาย เทพเจ้าบนสวรรค์ เทพเจ้าผู้รักษาแผ่นดิน ขอให้ข้าพเจ้าพ้นจากเคราะห์กรรมทั้งปวง ขอให้ข้าพเจ้าได้ปัญญาให้ข้าพเจ้าได้โลกุตตระ ให้ได้ถึงฝั่งแห่งแดนพระอริยะด้วยเทอญ.

(เมื่อท่องมนต์นี้ครบ 50 จบ ก็ให้ขีดฆ่า 1 วงกลมทิ้ง)



อานิสงส์จากการท่องพระคาถาเจ้าแม่กวนอิม

ที่เมืองเกียเฮง มีครอบครัวสกุลโง้ว ภรรยาสกุลตั้ง ส่วนภรรยานั้นร่างกายไม่แข็งแรง มักเจ็บออด ๆ แอด ๆ อยู่เป็นนิจไม่มีบุตรไว้สืบสกุล จึงไต้สวดมนต์ (ไต๋สือ) ไม่เว้นวัน และได้พิมพ์มนต์ที่สวดหนึ่งพันสองร้อยใบ เพื่อแจกแก่เพื่อนมนุษย์ปรากฏว่าได้หายจากการเจ็บไข้ ต่อมาก็ได้บุตรชายคนหนึ่ง ซึ่งต่อมาภายหลังได้รับราชการได้เป็นถึงสีนึ้ง (เทียบเท่ารัฐมนตรีปัจจุบัน)

ที่แมนจูเรีย นายหรือลิ้ม สกุลลี้ ได้ไปทำธุระที่เมืองกุยจิวพอเรือไปถึงปากอาว เกิดมีพายุขึ้น น้ำก็เซี่ยวกราก เรือกำลังจะล่มทันใดนั้น เขาก็ได้อธิษฐานต่อองค์เจ้าแม่กวนอิมว่า ถ้าหากปลอดภัยจะพิมพ์มนต์ ไต๋สือ หนึ่งพันสองร้อยใบเพื่อแจก พออธิษฐานจบลงปรากฏว่า พายุสงบลงน้ำก็นิ่ง เรือจึงไปได้อย่างสะดวกและปลอดภัย

ที่นครปักกิ่ง นายเสี่ยงง้วน สกุลเฮ้ง ได้ไปสอบหลายครั้งก็สอบไม่ได้ ก็ฝันถึงเจ้าแม่กวนอิมมาบอกว่า ที่จริงแล้ว เรื่องการสอบนั้น เขาไม่มีโอกาสได้เลย แต่ระยะอันใกล้นี้ ได้เห็นนายเสี่ยงง้วนมีความศรัทธาท่องคาถา ไต๋สือ และนับถืออย่างจริงใจ พระองค์ก็ช่วยให้สอบได้ พอนายเสี่ยงง้วนตื่นขึ้น ก็ได้พิมพ์คาถานั้น1,200 ใบ เพื่อแจก สิ่งปรากฏว่าเขาสอบได้สมความปรารถนา

ที่มณฑลซานตุง นางฮ่งคง สกุลจิว ถูกควบคุมตัวเพราะมีคดีอยู่ ก็ได้ฝันเห็นเจ้าแม่กวนอิมสอนให้ท่องคาถาไต๋สือ ก็จะสะเดาเคราะห์ได้ เขาจึงท่องคาถานี้ 12,000 จบ ต่อมาผลปรากฏว่าเขาได้รับความอิสระ

ที่อำเภอไต้เฮง มีหญิงกตัญญูผู้หนึ่ง สกุลลี้ พ่อป่วยอาการหนัก หล่อนก็อธิษฐานท่องคาถา ไต๋สือนี้ 12,000 จบ และพิมพ์ 1,200 ใบ เพื่อแจก พ่อก็หายป่วยดังปลิดทิ้ง

ที่นครปักกิ่ง นายสี่ส้ง สกุลเล้า ภรรยาสกุลขิง อายุ 40 ปีไม่มีบุตร ได้ท่องคาถา ไต๋สือนี้ 12,000 จบ และพิมพ์ 1,200 ใบแจกด้วย ต่อมาก็ได้บุตรชาย 1 คน

ที่มณฑลฮุยจิว นายง้วน สกุลโค้ว มีความลำบากยากจนแสนเข็ญ จะกระโดดน้ำตาย ทันใดนั้นก็ได้เห็นคนแก่คนหนึ่งซึ่งเขาได้บอกให้ท่องคาถาของเจ้าแม่กวนอิม ฟ้าเบื้องบนก็จะดลบันดาลคุ้มครอง แล้วคนแก่ผู้นั้นก็ล้วงเข้าไปในเสื้อหยิบคาถาไต๋สือ ให้ นายง้วนก็ทำตามมิหยุดหย่อน ภายหลังเขาก็กลายเป็นเศรษฐี

ที่มณฑลเหอหนัง นายย่งซุน สกุลเฮ้ง ตอนหนุ่มได้ป่วยเป็นโรค ซึ่งอาการหนักคิดว่าต้องตายอย่างแน่นอน จึงได้ท่องคาถาไต๋สือ และได้พิมพ์แจกด้วย ซึ่งปรากฏว่ามีอายุยืนถึง 90 ปี

ที่มณฑลจิกกัง นายตั่งเกา สกุลกู่ มีความอดอยากยากจนและคืนหนึ่งก็ได้ฝันเห็นเจ้าแม่กวนอิมได้มาหาและมือถือคาถาไต๋สือ พอลืมตาตื่นขึ้น ก็ได้อธิษฐานและท่องคาถา 12,000 จบและพิมพ์รูปเจ้าแม่กวนอิม 1,200 รูปแจก จากนั้นก็ค่อย ๆ ดี และสมปรารถนาทุกอย่าง

ที่มณฑลเล่งปอมีหญิงสกุลยู้ อายุ 28 ปี เป็นโรคผิวหนังเน่าเปือยตามร่างกาย ได้หาหมอและถามเจ้าหลายแห่ง อาการก็ไม่ทุเลา ภายหลังมีคนแก่มาแนะนำให้ท่อง และพิมพ์คาถาเพื่อแจกแล้วโรคจะหาย ดังนั้นหล่อนก็ได้อธิษูฐาน หลังจากนั้นไม่นานนัก ก็ได้หายจากโรคผิวหนัง นี่คือบารมีเจ้าแม่กวนอิมไต๋สือภายหลังก็มีบุตรชายสองหญิงหนึ่ง มีความเฉลียวฉลาดน่ารักมาก

ที่อำเภอกิงกุ่ย นานซีฮวด สกุลเตียว เป็นโรคปวดศีรษะกินไม่ได้นอนไม่หลับ และอยู่ในขั้นอันตราย แพทย์ทั้งหลายไม่สามารถรักษาได้ คนในครอบครัวเป็นห่วงมาก ก็พอดีมีเพื่อนแนะนำให้ท่องคาถา ไต๋สือ 12,000 จบ และพิมพ์แจก 1,200 ใบด้วยพออธิษฐานเสร็จก็ค่อยยังชั่ว จากนั้นก็หายขาด และไม่ปรากฏว่าปวดศีรษะอีกเลย

ที่อำเภอฝูงฟ้า หญิงสกุลตั้ง อายุ30 ปี ไม่มีบุตร การค้าก็ซบเซา ทั้งสามีและภรรยามีความกลุ้มอกกลุ้มใจมาก ต่อมามีญาติสกุลมาเยี่ยมที่บ้าน ได้เอ่ยคาถา ไต๋สือ ว่าถ้าขออะไรก็สมปรารถนา เมื่อทั้งสองฟังดังนั้น ก็ยินดีทำตาม จนบัดนี้มีทั้งบุตรและเงินสมความปรารถนา

คุณศิรินันท์ ดีธนสุวรรณ ได้หายจากโรคไสติ่งอักเสบโดยการผ่าตัดหายเป็นปรกติแล้ว พร้อมด้วยโรคปวดหัวข้างเดียวและโรคต่าง ๆ ซึ่งขณะนี้มีแต่ความสุขสมบูรณ์ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ แล้ว

นางเซาะจู แซ่เอี้ย อยู่บ้านเลขที่ 95/27 สี่แยกหลักสี่ถนนแจ้งวัฒนะ ดอนเมือง กรุงเทพฯ ขาเดินไม่ได้เป็นอัมพาตได้ท่องคาถา ไต๋สือ ขอเจ้าแม่กวนอิมเป็นเวลา 2 เดือน จึงหายเป็นปรกติและพิมพ์แจก 1,200 ใบ

และยังมีอีกมากที่ไม่ได้ลงให้ท่านทราบ ทั้งนี้รวมทั้งกรงเทพมหานครด้วย

ถ้าบุคคลใคมีความตั้งใจแน่วแน่ในการท่องคาถา ไต๋สือและทำตามคำแนะนำก็จะได้ผลตอบแทนอันงดงาม

อาหารเจ

ช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาลกินเจ จึงได้หาข้อมูลเกี่ยว การกินเจเพื่อคุณๆ ทั้งหลาย คำว่า "เจ" หรือ "แจ" ในภาษาจีนมีความหมายในทางพุทธศาสนาฝ่ายมหายานว่า อุโบสถ และแปลได้ อีกอย่างหนึ่งว่า ไม่มีคาว ซึ่งความหมายที่แท้จริงของคำว่า "กินเจ" คือ การรับประทาน อาหารก่อนเที่ยงวัน หรือที่ชาวพุทธในไทยถือ "อุโบสถศีล" หรือคือ "การรักษาศีล 8 " โดยหลัง จากเที่ยงวันแล้วจะไม่รับประทาน อาหารอีก



แต่เนื่องจากการถืออุโบสถศีลของชาวพุทธฝ่ายมหายานไม่กินเนื้อสัตว์ จึงนิยม"การไม่กิน เนื้อสัตว์" ไปรวม กับคำว่า "กินเจ" ซึ่งเป็นการถือศีลไปด้วยทุกวันนี้ถึงแม้จะรับประทานอาหาร ทั้ง 3 มื้อ แต่ไม่กินเนื้อสัตว์ก็ ยังคงเรียกว่า "กินเจ" ฉะนั้นความหมายก็คือ "คนที่กินเจ" ไม่ใช่เพียงแต่ไม่กินเนื้อสัตว์ แต่คนกินเจยังต้อง ดำรงตนให้อยู่ในศีลธรรมอันดีงาม มีความบริสุทธิ์สะอาดงดงามทั้งกาย วาจา และใจ และเป็นการถือศีลบำเพ็ญธรรมไปด้วยพร้อมกันจึงเรียกว่า "กินเจที่แท้จริง"



วันเวลาของการกินเจ



เราสามารถแบ่งการกินเจได้ 2 แบบ คือ



1. การกินเป็นกิจวัตร คือ การละเว้นการกินเนื้อสัตว์ทั้ง 3 มื้อ เป็นประจำทุกวัน

2. การกินเฉพาะช่วงประเพณีกินเจ คือ การกินเจในช่วงวันขึ้น ๑ ค่ำถึง ๙ ค่ำ เดือน ๙ ตามปฏิทินจีน ซึ่งวันเวลา ของการกินเจทั้ง 9 วันนั้น จะมีชื่อเรียกดังนี้คือ ชิวอิก ชิวยี่ ชิวซา ชิวสี่ ชิวโหงว ชิวลัก ชิวฉิก ชิวโป๊ย และชิวเก้าด้วย



โดยที่เจอิ๊วหรือผู้ร่วมพิธีกินเจจะมีการทำบุญในระหว่าง 9 วันที่เรียกว่า "เจคี้" หรือ "ซาลักเก้า" ซึ่งประกอบด้วย วันชิวซา ชิวลัก และชิวเก้าด้วย โดยการนำโหงวก้วยหรือซาก้วย ผลไม้ 5 หรือ 3 อย่างมาไหว้ ซึ่งมักนิยมใช้ผลไม้ ที่มีความหมายเป็นมงคล เช่น ส้ม ซึ่งในภาษีจีนเรียกว่า ไต้กิก แปลว่า โชคดี องุ่น หรือ พู่ท้อ หมายถึง งอกงาม สับปะรด หรืออั้งไล้ แปลว่า มีโชค และกล้วย ที่หมายถึง การมีลูกหลานสืบสกุล



การกินเจอย่างถูกต้อง



"อาหารเจ" เป็นอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากพืชผักธรรมชาติล้วนๆ ไม่มีเนื้อสัตว์ปน และที่สำคัญต้องไม่ปรุงด้วย ผักฉุนทั้ง 5 อันได้แก่ กระเทียม หัวหอม หลักเกียว กุ้ยฉ่าย ใบยาสูบ เนื่องจากผักดังกล่าวเหล่านี้เป็นผักที่มี รสหนัก กลิ่นเหม็นคาวรุนแรง นอกจากนี้ยังมีพิษทำลายพลังธาตุทั้ง 5 ในร่างกาย เป็นเหตุให้อวัยวะหลักสำคัญภายในทั้ง 5 ทำงานไม่ปกติ ซึ่งผู้ที่กินเจถือว่า



กระเทียม ซึ่งรวมไปถึง หัวกระเทียม ต้นกระเทียม จะไปทำลายการทำงานของหัวใจและกระทบกระเทือนต่อธาตุไฟในกาย ถึงแม้ว่ากระเทียมจะมีสารที่สามารถละลายไขมันใน เส้นเลือด (คลอเลสเตอรอล) ได้ แต่กระเทียมก็มีความระคายเคืองสูง ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะหรือกระเพาะอาหารเป็นแผลและโรคตับจึงไม่ควรรับประทานมาก



หัวหอม ซึ่งรวมไปถึงต้นหอม ใบหอม หอมแดง หอมขาว หอมหัวใหญ่ ตามหลักเวชศาสตร์และเภสัชศาสตร์ โบราณของจีนถือว่า หัวหอมจะไปทำลายการ ทำงานของไตและกระทบกระเทือนต่อธาตุน้ำในกาย ถึงแม้ว่า หอมแดงจะช่วยขับพยาธิ ขับลม แก้ท้องอืดแน่น ปวดประจำเดือน และอาการบวมน้ำได้ แต่การบริโภคเป็น ประจำหรือ มากเกินไป จะทำให้เกิดอาการหลงลืมง่าย ประสาทเสีย มีกลิ่นตัว ฟันเสีย เลือดน้อย และนัยตาฝ้ามัว



หลักเกียว คือ กระเทียมโทนจีน ลักษณะคล้ายหัวกระเทียม แต่มีขนาดเล็กและยาวกว่า ในประเทศไทยไม่พบว่า มีการปลูกแพร่หลาย ซึ่งหลักเกียวจะไปทำลายการ ทำงานของตับและกระทบกระเทือนต่อธาตุไม้ในกาย



ใบยาสูบ ซึ่งหมายถึง บุหรี่ ยาเส้น ของเสพติดมึนเมาโดยใบยาสูบจะไปทำลายการทำงาน ของปอด และ กระทบกระเทือนต่อธาตุโลหะในกาย



ประโยชน์ของการกินเจในมุมมองทางศาสนา

ในมุมมองของศาสนาจะมองประโยชน์ของการกินเจในแง่ของชีวิตและจิตใจ ซึ่งได้แก่



1. บังเกิดเมตตาจิต เกิดความสงบ สุขุม เยือกเย็น อารมณ์ไม่ฉุนเฉียว ไม่หุนหันพลันแล่น โมโหง่าย ดวง ธรรมญาณอันบริสุทธิ์จะปรากฏออกมาซึ่งจะช่วยเกื้อกูลส่งเสริม ให้บารมี ธรรมสูงขึ้นเรื่อยๆ



2. ทำให้มีสติมั่นคง มีสมาธิแน่วแน่ ไม่ประมาทเลินเล่อ เป็นประโยชน์ต่อการดำเนิน ชีวิตและการทำงาน สามารถรอดพ้นจากภัยต่างๆ เช่น ภัยธรรมชาติ ภัยจากสัตว์ ภัยจากเคราะห์กรรม เมื่อวิญญาณออกจาก ร่าง ก็จะไปสู่ภพภูมิที่ดี



3. หยุดการทำบาป ตัดเวรกรรมที่ผูกพัน ทำให้ไม่เกิดการอาฆาตพยาบาท ทำให้ปราศจากศัตรูทั้งมนุษย์และสัตว์ที่คิดมุ่งร้ายตามจองเวร



4. สิ่งไม่ดีจะถูกขับออกไป ความรู้สึกขุ่นมัว มืดมนจะหมดไป หลังจากกินเจต่อเนื่องกัน เป็นระยะเวลานานๆ ความสดใสจะปรากฏขึ้นในจิตใจ และถ่ายทอดออกไปสู่ใบ หน้าให้มีความสะอาดสดใส



5. ผู้ที่กินเจ รวมทั้งครอบครัวและบุตรหลาน และคนในปกครองจะเกิดความรุ่งเรืองในชีวิต มีเหตุให้เกิด อยู่ในดินแดนอารยะ มีแต่ความอุดมสมบูรณ์ ปราศจากการทำร้ายรบราฆ่าฟัน ไม่มุ่งร้ายทำลายชีวิตซึ่งกัน และกัน



6. ทำให้จิตใจสะอาดไม่ฟุ้งซ่าน จิตใจที่สะอาดทำให้มองเห็นกายอันแท้จริง สามารถสู่นิพพานได้ในที่สุด



7. เทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ความคุ้มครองอารักขาไม่ให้สิ่งเลวร้ายหรือวิญญาณชั้นต่ำเข้ามาทำร้าย



ผู้ที่มองประโยชน์ของการกินเจในแง่ของศาสนา จะมีการปฏิบัติที่เคร่งครัดว่า การมองประโยชน์ของการ กินเจในแง่อื่น ซึ่งมักจะให้ผลที่สามารถมองเห็นได้อย่างเกินคาด เกินความคิดคำนึงพื้นฐานของคนทั่วไป เช่น การลุยไฟ การใช้เหล็กเสียบแทงตนเอง หรือม้าทรงต่างๆ ในเทศกาลกินเจที่จังหวัดตรัง นั่นคือ ความเชื่ออันแรงกล้าทำให้เกิดสิ่งที่ตนคิดว่าเป็นไปไม่ได้เสมอ



ประโยชน์ของการกินเจในมุมมองของแพทย์แผนปัจจุบันและแผนโบราณ



1. ให้พลังเย็น โดยได้รับพลังงานจากฟรุกโตส ซึ่งมีในผัก ผลไม้ เป็นพลังที่ไม่ทำร้ายร่างกาย



2. ช่วยขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ทำให้ไม่มีสารพิษตกค้าง เพราะกากใยในพืช ผัก ผลไม้ ช่วยระบบ การย่อยและระบบขับถ่าย ทำให้ไม่เป็นโรคเกี่ยวกับลำไส้ รวมถึงโรคที่เกิด จากระบบขับถ่ายผิดปกติต่างๆ เช่น โรคริดสีดวงทวาร



3. หากรับประทานประจำจะช่วยฟอกโลหิตในร่างกายให้สะอาด เซลล์ต่างๆ ในร่างกายจะเสื่อมช้าลง ทำให้ ผิวพรรณผ่องใส มีอายุยืนยาว สายตาดี แววตาสดใส ร่างกายแข็งแรงมีความต้านทานโรค มีความคล่อง ตัวรู้สึกเบาสบายไม่อึดอัด



4. ทำให้ปราศจากโรคร้ายต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน โรคตับ โรคลำไส้ โรคเก๊าต์ ฯลฯ เพราะได้รับอาหารธรรมชาติที่มี ประโยชน์ ซึ่งไม่เป็นสาเหตุ ุและยังช่วยป้องกันโรคเหล่านี้



5. อวัยวะหลักของร่างกาย และอวัยวะเสริมทั้ง 5 ทำงานได้อย่างเต็มสมรรถภาพอวัยวะหลัก ได้แก่ หัวใจ ไต ม้าม ตับ ปอด อวัยวะเสริมทั้ง 5 ได้แก่ ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก กระเพาะปัสสาวะ กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี



6. ผู้ที่กินเจจะมีร่างกายที่สามารถต้านทานต่อสารพิษต่างๆ ได้สูงกว่าคนปกติทั่วไป ซึ่งได้แก่ ยากำจัดศัตรูพืช ยาฆ่าแมลง หรือสารเคมีที่เป็นอันตรายอื่นๆ มลภาวะที่เกิดจากการ เผาไหม้ของเครื่องยนต์ ทั้งจากรถยนต์และโรงงานอุตสาหกรรม ฯลฯ ซึ่งมีปะปนอยู่ในอากาศ รวมถึงแหล่งอาหารและน้ำดื่ม



จะเห็นได้ว่าในทางกานแพทย์นั้น การกินเจมีประโยชน์ในการรักษา ที่สามารถพิสูจน์และ มองเห็นได้ชัดเจน กว่าประโยชน์ในทางศาสนา แม้ว่าการปฏิบัติจะไม่เคร่งครัดเท่ากับความ ต้องการประโยชน์ทางด้านศาสนา



ประโยชน์ของการกินเจ ในมุมมองทางด้านโภชนาการ



มักมีการสงสัยกันอยู่เสมอว่า การกินเจ จะได้สารอาหารครบทั้ง 5 หมู่หรือไม่ โดยเฉพาะ โปรตีน ซึ่งคนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าโปรตีนในเนื้อสัตว์เป็นโปรตีน ที่มีคุณภาพดีมากกว่า โปรตีนในพืช ซึ่งเป็นความ เข้าใจที่ไม่ถูกต้องนัก เพราะแท้ที่จริงแล้วโปรตีนในผัก มีคุณค่าที่ใกล้เคียงกัน ในส่วนของอาหารหลัก 5 หมู่ เป็นสิ่งที่กังวลกันอีกประการ หนึ่งว่าจะได้ครบหรือไม่ ถ้าคิดในทางกลับกัน สิ่งที่คิดว่าจะขาดมาก ที่สุดคือโปรตีน ในอาหารเจยังมีครบ จึงไม่น่าเป็น ห่วงว่าจะขาดสารอาหารในหมู่อื่น เพราะนอกจากโปรตีน แล้วสารอาหาร หมู่อื่นจะมีอยู่ใน พืชผักผลไม้ทั้งสิ้น ดังนั้น การจะขาดสารอาหาร จึงน่าจะขึ้นอยู่กับพฤติกรรม การบริโภคมาก กว่า ว่าเป็นคนเลือกกิน หรือไม่ ส่วนสารอาหารที่ได้จากการกินเจในที่นี้ จะขอกล่าวถึงเฉพาะ ส่วนของโปรตีนเท่านั้น เนื่องจากเป็นข้อมูลที่มีผู้สงสัยมากที่สุดว่า โปรตีนจากพืชจะ ทดแทน โปรตีนจาก สัตว์ได้หรือไม่



โปรตีนที่จำเป็นต่อร่างกายคนเรา มีมากในอาหารประเภทถั่ว

โปรตีน คือ สารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย มีอยู่ในเนื้อสัตว์ทั่วไป รวมทั้งในไข่ขาวและผัก และจะมีมากในถั่วชนิดต่างๆ เช่น ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วลิสง และถั่วอื่นๆ โปรตีนที่จำเป็นต่อร่างกายจริงๆ มีอยู่ 10 ชนิด ซึ่งมีอยู่ทั้งในเนื้อสัตว์และถั่วต่างๆ ที่แตกต่างกันก็คือ ในเนื้อสัตว์จะมีไขมันมากกว่าถั่วต่างๆ เมื่อกินโปรตีนจากเนื้อสัตว์จึงได้รับไขมันมากขึ้นไปด้วย ทำให้อ้วนรวมไปถึงระบบการย่อยอาหาร ก็ต้องทำงานหนักขึ้นไปด้วย ต่างจากโปรตีนที่ได้จากถั่วซึ่งมีปริมาณไขมันน้อยกว่า และร่างกายสามารถนำไปใช้ได้พอดี โดยไม่เหลือเป็นส่วนเกิน และยังมีกากใยช่วยทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น และที่สำคัญ ไม่มีคลอเลสเตอรอลเหมือนในเนื้อสัตว์



โปรตีนที่มีความสำคัญต่อร่างกายของคนเรา 10 ชนิด ซึ่งมีอยู่ครบในถั่วต่างๆ คือ



1. ไลซีน มีหน้าที่สร้างความเจริญเติบโต และสร้างความต้านทานให้แก่ร่างกาย หากขาดไลซีน ร่างกายจะแสดงอาการผิดปกติ เช่น มีอาการอ่อนเพลีย ไม่มีแรง เป็นต้น



2. กลูตามิก เป็นกรดอะมิโนที่บำรุงรักษาความเป็นปกติของเซลล์สมอง หากขาด กลูตามิก จะเกิด อาการผิดปกติทางสมองควบคุมความรู้สึกและจิตใจตนเอง ลำบากจะมีอาการเฉยเมย และซึมเศร้า แก่เร็ว ไม่สดใส ร่างกายไม่เจริญเติบโต



3. วาลีน เป็นกรด อะมิโนที่สร้างความเป็นปกติแก่สมองอีกชนิดหนึ่ง รวมถึงกล้ามเนื้อ ระบบประสาท การรับรู้ ความรู้สึกนึกคิด ซึ่งขึ้นอยู่กับกรดอะมิโนชนิดนี้



4. อาร์จีนีน เป็นส่วนประกอบของอสุจิในเพศชาย หากขาดจะทำให้มีโอกาสเป็นหมัน เพราะเชื้ออสุจิไม่แข็งแรง ทำให้ไม่สามารถเข้าไปผสมกับไข่ของเพศหญิงได้ นอกจากนี้ยังทำให้ร่างกายไม่สดใส ไม่มีความกระชุ่มกระชวย จิตใจไม่ผ่องใส ทำให้แก่เร็ว



5. ซิสตีน เป็นกรด อะมิโนที่ร่างกายนำมาใช้สร้างเซลล์เส้นผมและอินซูลิน ทำให้ร่างกายต่อต้านสิ่งที่เป็นพิษได้ดีขึ้น สร้างภูมิต้านทานและสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามา ทางลมหายใจ ผู้ที่ขาดซิสตีนจะเกิดอาการ เป็นกังวล หงุดหงิด ตับผิดปกติ เส้นผมหลุดร่วง



6. ฟีนายอะลานีน หากขาดกรด อะมิโนตัวนี้จะทำให้ควบคุมตนเองไม่อยู่ในเรื่อง การรับประทานอาหาร จะทำให้รับประทานอาหารไม่หยุด ทำให้เกิดโรคอ้วนและอาการมึน ซึม หรือปวดหัว ฟีนายอะลานีนสามารถนำมาสร้างฮอร์โมนไทร็อกซีนของต่อมไธรอยด์ได้อีกด้วย



7. ทรีโอนีน มีความสำคัญต่อระบบทางเดินอาหารและระบบย่อยอาหาร หากขาดทรีโอนีนจะเกิดปัญหาในการย่อยอาหาร ทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด เรอเปรี้ยว



8. อิสติดีน ช่วยดูแลรักษาทำให้ประสาทหูทำงานเป็นปกติ หากขาดอิสติดีนจะเกิด ความเสียหายกับประสาทหู และเกิดอาการหูอื้อ หูตึง ความสามารถในการได้ยินลดลง



9. ทริปโตเฟน ทำหน้าที่ในการย่อยอาหารร่วมกับทรีโอนีน นอกจากนี้ยังช่วยสร้างเส้นผม ทำให้เส้นผมไม่หลุดร่วงง่าย รากผมแข็งแรง นอกจากนี้ยังทำให้ผิวพรรณผ่องใส และช่วยสร้างเม็ดโลหิตอีกด้วย



10. เมทีโอนีน ช่วยดูแลรักษาตับ ขับของเสียออกจากตับ ขจัดสารพิษออกจากร่างกาย หากขาดจะทำให้เส้นตับผิดปกติรวมถึงไตด้วย นอกจากนั้นยังทำให้เส้นผมหลุดร่วงง่าย ร่างกายไม่สดชื่น ผิวพรรณหมองคล้ำ

ข้อปฏิบัติในการรับประทานอาหารเจ



ข้อปฏิบัติในการรับประทานอาหารเจ




1.) พืชผักและผลไม้ เป็นของคู่กันเสมอ นอกจากผักสดๆ ที่นำมาปรุงเป็นอาหารแล้ว คนกินเจจำเป็นต้องรับประทานผลไม้สดๆ หลังอาหารทุกมื้ออย่างสม่ำเสมอ การเลือกซื้อผักผลไม้เพื่อนำมาปรุง และการบริโภคในแต่ละวันควรจัดให้ได้ครบตามสีของธาตุทั้ง 5 ดังนี้







1. สีแดง (แดงส้ม, แสด, ชมพู) สัญลักษณ์ ธาตุไฟ



2. สีดำ (น้ำเงิน, ม่วง) สัญลักษณ์ ธาตุน้ำ



3. สีเหลือง (เหลืองแก่, เหลืองอ่อน) สัญลักษณ์ ธาตุดิน



4. สีเขียว (เขียวเข้ม, เขียวอ่อน) สัญลักษณ์ ธาตุไม้



5. สีขาว (ขาวนวล, ขาวสะอาด) สัญลักษณ์ ธาตุโลหะ





ผักผลไม้ไม่จำเป็นต้องมีราคาแพงหรือเป็นประเภทยาก เช่น พวกผักผลไม้เมืองหนาว ควรยึดหลักราคาถูก ประหยัด แต่มีคุณประโยชน์สูง จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่รู้จักฉลาดกิน ฉลาดใช้ ประหยัดยอด ประโยชน์เยี่ยม







ประเทศไทยเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ด้วยผักผลไม้หลายหลาก ตลอดปีเราสามารถหามาบริโภคได้ไม่ขาดแคลน จึงควรเลือกซื้อมาปรุงและบริโภคให้ครบทั้ง 5 สี โดยสลับเปลี่ยนหมุนเวียนนำมาบริโภคในแต่ละวันโดยไม่ซ้ำกัน และไม่ควรเลือกทานเฉพาะอย่างหนึ่งอย่างใดที่ตนชอบ โดยไม่คำนึงถึงคุณประโยชน์หลายๆ ท่านเลือกรับประทานผักผลไม้เฉพาะอย่างเพื่อความอร่อยเท่านั้น เป็นการรับประทานอาหารเจที่ยังไม่ถูกหลัก









2.) เมล็ดธัญพืช นอกจากผักผลไม้ที่ต้องรับประทานให้ครบทุกสีเป็นประจำแล้ว เมล็ดธัญพืชได้แก่ ถั่ว ถั่วแปลกแข็งทุกประเภท พืชที่เป็นหัวในดิน เช่น เผือก มัน กลอย มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก โดยเฉพาะเมล็ดถั่วมีสารอาหารครบทุกหมู่ ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต คือแป้งและน้ำตาล โปรตีน ไขมัน วิตามิน เกลือแร่หลายชนิด คนที่กินเจควรรับประทานถั่วทั้ง 5 สีเป็นประจำ ได้แก่ ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่งเหลือง ถั่วเขียว ถั่วขาว







ถั่วทั้ง 5 สีนี้ ราคาไม่แพงมีอยู่แพร่หลาย บางทีก็ทำเป็นของหวานต่างๆ เช่น ถั่วดำบวช ถั่วแดงต้มน้ำตาล ถั่วเหลืองน้ำกะทิ (เต้าส่วน) ถั่วเขียวต้มน้ำตาลกรวด ถั่วลิสงอบ หรือเคลือบน้ำตาล ลูกเดือยบวช ถั่วขาวกวน ฯลฯ สำหรับถั่วขาวไม่ค่อยจะมีการปลูกแพร่หลายในประเทศไทย แต่ก็สามารถรับประทานถั่วลิสงซึ่งให้ประโยชน์ทดแทนกันได้









ทุกคนควรรับประทานถั่วดังกล่าวหมุนเวียนไปให้คบทุกสีจะทำให้ร่างกาย ได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ และช่วยเสริมให้อวัยวะหลักสำคัญภายในทำงานได้ดียิ่งขึ้น









เนื้อเมล็ดในของพืชผัก อันได้แก่ เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง เมล็ดแตงโม มันฮ่อ นับเป็นของขบเคี้ยวที่คนกินเจรู้จักดี เนื้อในของเมล็ดพืชดังกล่าว เป็นแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินมากมายหลายชนิด ซึ่งทรงคุณค่าทางโภชนาการอย่างยิ่ง



























ถั่วทั้ง 5 สีที่ให้คุณประโยชน์ต่ออวัยวะหลักภายใน



1. ถั่วแดง (RED BEANS) ให้คุณต่อหัวใจ



2. ถั่วดำ (BLACK BEANS) ให้คุณต่อไต



3. ถั่วเหลือง (SOY BEANS) ให้คุณต่อม้าม



4. ถั่วเขียว (GREEN BEANS) ให้คุณต่อตับ



5. ถั่วขาว (WHITE BEANS) ให้คุณต่อปอด





ธาตุทั้ง 5 สี ถั่วแต่ละสี บำรุงอวัยวะ ธาตุไฟ ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุไม้ ธาตุโลหะ แดง ดำ เหลือง เขียว ขาว ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วขาว หัวใจ ไต ม้าม ตับ ปอด







3.) การได้รับประทานสาหร่ายทะเลทั้งสดและแห้งพร้อมทั้งใช้เกลือทะเลมาปรุงลงในอาหาร ทั้ง 2 อย่างนี้มีไอโอดีน ซึ่งจะสามารถป้องกันโรคคอพอกได้เป็นอย่างดี







4.) งาขาวและงาดำ ในอาหารและขนมคนกินเจควรใช้งาปรุงผสมด้วยเสมอ ไม่ว่าจะเป็นงาขาวหรืองาดำ เพราะในเมล็ดงามีกรดไขมันไลโนเลอิค (LINOLEIC ACID) ซึ่งจำเป็นต่อร่างกายมากแต่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้



สำหรับผู้ทำอาหารเจรับประทานเอง ให้นำงาขาวมาล้างเอาผงฝุ่นออกจนสะอาดดี ตักใส่ตะแกรงทิ้งไว้ให้หมาดแล้วใช้ไฟอ่อนๆ คั่วในกระทะจนสุกเหลืองพอเย็นจึงนำมาโขลกหรือ ปั่นให้แตกด้วยเครื่อง จะทำให้ได้ประโยชน์จากน้ำมันที่อยู่ในเมล็ดดียิ่งขึ้น งานที่บดแล้วจะมีกลิ่นหอมสามารถนำใช้ปรุงอาหาร และขนมได้ทุกประเภท ทำให้มีรสดี หอมน่ารับประทาน โดยปกติผู้ที่กินเจควรรับประทานงานในปริมาณวันละ 2 ช้อนโต๊ะ ก็นับว่าเพียงพอแก่ความต้องการของร่างกาย







5.) ผู้ที่กินเจ ไม่ควรรับประทานรสจัดเกินไป เช่น เผ็ดจัด เค็มจัด ขมจัด เปรี้ยวจัด หวานจัด รสชาติที่จัดมากๆ จะส่งผลไปถึงอวัยวะหลักดังนี้



รสขม ส่งผลต่อ หัวใจ

รสเค็ม ส่งผลต่อ ไต

รสหวาน ส่งผลต่อ ม้าม

รสเปรี้ยว ส่งผลต่อ ตับ

รสเผ็ด ส่งผลต่อ ปอด





6.) หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารหมักดอง เช่น ผักดอง ผลไม้ดอง เครื่องกระป๋อง อาหารสำเร็จรูป ควรหันมารับประทานอาหารสดที่ปรุงใหม่ๆ จะให้คุณประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่า







7.) เครื่องดื่ม คนกินเจควรดื่มน้ำผลไม้สดๆ ตามธรรมชาติ เช่น น้ำส้ม น้ำมะเขือเทศ น้ำสับปะรด น้ำอ้อย น้ำมะพร้าว น้ำใบบัวบก น้ำมะตูม ฯลฯ น้ำผลไม้ดังกล่าวจะทำให้ร่างกายและผิวพรรณสดชื่นเปล่งปลั่ง เราควรงดน้ำหวานที่ปรุงแต่งรสและเจือสีสังเคราะห์ เพื่อหลีกเลี่ยงพิษภัยจากสิ่งปลอมปน







นอกจากการดื่มน้ำผลไม้สดๆ แล้ว ทุกคนต้องดื่มน้ำสะอาดให้ได้วันละ 8 แก้ว เป็นประจำ







ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นหลักความรู้ในการปรุงและบริโภคอาหารเจ ซึ่งคนกินเจต้องยึดถือปฏิบัติ เพื่อให้ได้มาซึ่งพลานามัยที่สุขสมบูรณ์พร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจ

ปัญหาการบริโภคเนื้อสัตว์

ปัญหาการบริโภคเนื้อสัตว์


เรื่องนี้ ตรัสสนทนากับหมอชีวกโกมารภัจจ์ แพทย์ประจำพระองค์พระเจ้าพิมพิสาร ราชาแห่งแคว้นมคธ ซึ่งได้ปวารณาตัวเป็นแพทย์สำหรับพระพุทธองค์และภิกษุสงฆ์ด้วย

วันหนึ่ง พระพุทธองค์ประทับอยู่ที่สวนมะม่วงของหมอชีวก เจ้าของสวนเข้าไปเฝ้าทูลว่า คนทั้งหลายพูดกันว่าพระพุทธองค์เสวยเนื้อสัตว์ที่คนฆ่าเจาะจงมาถวาย ทรงรู้อยู่ก็เสวย ข้อนี้จริงหรือไม่

ตรัสตอบว่า ไม่จริง และทรงอธิบายว่า ทรงห้ามภิกษุฉันเนื้อสัตว์ที่ประกอบด้วยองค์ 3 คือ เนื้อที่ได้เห็นได้ยินได้ฟัง หรือรังเกียจสงสัยว่าเขาฆ่ามาเพื่อตน ถ้าไม่ประกอบด้วยองค์ 3 นี้ก็ฉันได้ พระองค์ก็ทรงถือเงื่อนไข 3 ประการนี้ด้วยเหมือนกัน

ทรงแสดงเพิ่มเติมว่า ภิกษุสาวกของพระองค์อาศัยอยู่ในบ้านหรือนิคมใด มีจิตประกอบด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา แผ่ไปทุกทิศ ไม่คิดเบียดเบียนใครหรือสัตว์ใด ๆ เลย เมื่อมีผู้มานิมนต์ไปฉันก็ไม่ได้คิดว่าขอให้เขาถวายบิณฑบาตอันประณีตแก่ตน หรือถวายอีกในวันต่อไป เธอไม่กำหนัดในอาหาร ไม่ติดพัน พิจารณาเห็นโทษอยู่เสมอ มีปัญญาในการถอนตนออก เมื่อเป็นเช่นนี้เธอจะคิดเบียดเบียนตนหรือผู้อื่นได้อย่างไร เธอชื่อว่าฉันอาหารอันไม่มีโทษมิใช่หรือ

หมอชีวกทูลรับว่าเป็นอย่างนั้นจริง และทูลว่าเคยได้ยินได้ฟังมาว่า พรหมอยู่ด้วยอุเบกขา เขาไม่เคยเห็นพรหม แต่เห็นพระผู้มีพระภาคทรงอยู่ด้วยอุเบกขา เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคจึงทรงเป็นพรหมที่เห็นได้

พระศาสดาตรัสว่า ราคะ โทสะ โมหะ อันเป็นเหตุให้เบียดเบียนกัน พระองค์ทรงละได้ขาดแล้ว ถ้าหมายเอาอย่างนี้(ว่าเป็นพรหม) ก็ทรงอนุญาตให้กล่าวเช่นนั้นได้ ทรงอยู่ด้วยอุเบกขาได้ด้วยเหตุนี้

ทรงแสดงน้ำพระทัยอันซื่อตรงของพระองค์ให้หมอชีวกทราบว่า ทรงเห็นว่าผู้ใดฆ่าสัตว์เจาะจงมาถวายพระองค์หรือสาวกของพระองค์ ผู้นั้นย่อมได้รับบาปเป็นอันมาก 5 ระยะด้วยกัน คือ

1. ตอนที่พูดว่าให้นำสัตว์นั้น ๆ มาฆ่า

2. เมื่อสัตว์นั้น ๆ ถูกเขาผูกคอลากมา มันต้องประสบทุกขเวทนา

3. เมื่อใช้ให้เขาฆ่า

4. เมื่อสัตว์นั้นกำลังถูกฆ่าย่อมได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัส

5. เมื่อผู้นั้นให้ตถาคตหรือสาวกของตถาคตบริโภคเนื้ออันไม่สมควร

หมอชีวกทูลสรรเสริญข้อชี้แจงของพระพุทธองค์ หายข้องใจสงสัยในเรื่องการเสวยเนื้อสัตว์ของพระพุทธองค์.



พระไตรปิฎก สำหรับเยาวชน เล่ม 6 (ชีวกสูตร เล่ม 13 ข้อ 56-61)

(พระไตรปิฎก, สุตตันตปิฎก, เล่มที่ 13 มัชฌิมนิกาย – ชีวกสูตร)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น